ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2561

"นีเเอนเดอร์ธัล" วิวัฒนาการครั้งสำคัญของบรรพบุรุษมนุษย์ (Neanderthal) #Archaeology

            สวัสดีค่า......K. กลับมาทักทายคุณผู้อ่านกันอีกเช่นเคย ในช่วงหน้าร้อนแบบนี้นะคะ  K. ก็ไม่ลืมที่จะนำเรื่องราว สาระดี ๆ มาฝากคุณผู้อ่าน^-----^   บทความทั้ง 2 เรื่องที่ผ่านมา  K. มุ่งมั่นและตั้งใจในการรังสรรค์ขึ้นมากถึงมากที่สุดค่ะ5555  และที่สำคัญในวันนี้K.อยากจะขอบคุณ คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคนที่คอยติดตามอ่านผลงานของ K. หรือบางคนก็เข้ามาหาข้อมูลเพื่อไปทำรายงานส่งอาจารย์กัน  K. ยินดีมากค่ะ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการศึกษาของทุก ๆ คน เอาล่ะค่ะ.....สำหรับวันนี้ประเด็นเรื่องราวที่ K.นำมาฝากคุณผู้อ่านก็ยังคงเกี่ยวเนื่องกับ “วิวัฒนาการของมนุษย์”  อีกเช่นเคย  แต่ในวันนี้เป็นมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาอีกระดับ เรื่องราวของมนุษย์เหล่านี้ จะทำให้คุณผู้อ่านได้เห็นถึงพัฒนาการในระดับที่เจริญขึ้นกว่ามนุษย์ “โฮโมอิเร็คตัส” ในบทความที่แล้ว ถ้าพร้อมแล้ว เราไปทำความรู้จักกับ "นีเเอนเดอร์ธัล" บรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบัน  กันเลยยยยยยยยยยยย!!

   

"ลักษณะใบหน้าของ นีเเอนเดอร์ธัล"
       
            “นีแอนเดอร์ธัล” คือ มนุษย์ในตระกูลโฮโมที่เดินเท้าออกจากทวีปแอฟริกาไปยังทวีปยุโรป เหตุที่เรียกว่า         “นีแอนเดอร์ธัล” เนื่องจากซากดึกดำบรรพ์ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ที่บริเวณหุบเขา “นีแอนเดอร์” ประเทศเยอรมัน นักบรรพชีวินวิทยาได้ใช้ชื่อดังกล่าวสำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในยุโรปเมื่อประมาณ 200,000-30,000 ปีที่ผ่านมา  จากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์พบว่า  มนุษย์เหล่านี้มีลักษณะทางกายภาพ คือ  มีโครงร่างที่หนาและล่ำสัน  สันคิ้วเด่นชัด  กรามใหญ่แต่คางเล็ก  ตัวค่อนข้างเตี้ย และมีสมองขนาดใหญ่เทียบเท่ากับมนุษย์ในปัจจุบัน


           การดำรงชีวิตของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลคาดว่าเมื่อประมาณ 1 แสนปีที่ผ่านมา ได้กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในทวีปยุโรป  และทวีปแอฟริกาทางตอนเหนือ  เพราะปรากฏเครื่องมือที่ทำด้วยหินเหล็กไฟ (Flint implements) ของมนุษย์พวกนี้ถูกทิ้งอย่างเกลื่อนกลาดตามบริเวณดังกล่าว  และอีกกิจกรรมการดำรงชีวิตในรูปแบบหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ของมนุษย์เหล่านี้คือ “การล่าสัตว์” คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะสงสัยนะคะว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล     ล่าสัตว์กันอย่างไร เพราะลำพังแค่เครื่องมือที่ประดิษฐ์ขึ้นจากหิน ก็ไม่สามารถช่วยให้การล่าสัตว์ง่ายดายขึ้น ฉะนั้นมนุษย์เหล่านี้จึงมีวิธีที่ชาญฉลาดกว่านั้น  นั่นก็คือ การขุดหลุมพรางไว้  แล้วจึงไล่ล่าสัตว์ให้ตกลงไปในหลุม  แล้วจึงช่วยกันใช้หอกทิ่มแทง หรือใช้ก้อนหินทุ่มจนสัตว์นั้นตาย  เมื่อสัตว์นั้นตายลงแล้ว  มนุษย์พวกนี้ก็จะช่วยกันฉีกหรือตัดเนื้อของสัตว์ออกเป็นชิ้น ๆ  แล้วนำไปแจกจ่ายให้พรรคพวกกิน  ดังนั้นตามถ้ำต่าง ๆ ที่มนุษย์เหล่านี้เข้าไปอาศัยอยู่จึงมักพบเศษกระดูกสัตว์ต่าง ๆ เกลื่อนกลาดอยู่ด้วย  ส่วนหนังสัตว์ก็อาจจะเอาไปทำเป็นเครื่องนุ่มห่มปกปิดร่างกายให้อบอุ่น เพราะอากาศในขณะนั้นมีความหนาวเย็นมาก



 "นีเเอนเดอร์ธัลมีชีวิตอยู่ในยุคน้ำเเข็ง ซึ่งมีอากาศที่เหน็บหนาวอย่างทารุณ"
                   
              นอกจากมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลที่อาศัยอยู่ในถ้ำแล้ว  ในยุคนี้สัตว์ต่าง ๆ ก็อาศัยอยู่ในถ้ำเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็น เสือ  หมี สุนัขป่า  เป็นต้น ต่างก็เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำ  แต่สัตว์เหล่านี้จะถูกขับไล่ออกไปหมดเพราะมนุษย์ต้องการถ้ำเป็นที่อาศัย  โดยมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลจะใช้ไฟในการขับไล่สัตว์เหล่านี้  และป้องกันอันตรายจากสัตว์อื่น ๆ ด้วยในส่วนของเครื่องมือหินที่มนุษย์หล่านี้ได้ประดิษฐ์ขึ้น ก็จะมีเครื่องมือที่ทำด้วยหินเหล็กไฟ  (Flint implements) ดังที่กล่าวถึงมาแล้วนั้น  ซึ่งก็จะเป็นเครื่องมือจำพวก ขวานมือ  หรือ  ขวานกำปั้น (Hand axe)  ที่ทำจากหินเหล็กไฟ  โดยใช้ในการสับ ตัด  หรือใช้ในการขูดก็ได้


"เครื่องมือต่าง ๆ ที่นีเเอนเดอร์ธัลประดิษฐ์ขึ้น"
      
         มนุษย์พวกนี้มักอาศัยอยู่ในถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ แม่น้ำลำธาร เพื่อใช้น้ำเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค  ตลอดจนการหาสัตว์น้ำมากินเป็นอาหาร  อีกทั้งก็ยังเป็นการสะดวกที่จะหาหินมากะเทาะทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้อีกด้วย  วิวัฒนาการที่สำคัญของมนุษย์ในยุคนี้อีกอย่างหนึ่งคือ  การที่มนุษย์เหล่านี้เริ่มรู้จักการมีสังคม มีครอบครัว  ซึ่งวิวัฒนาการในด้านนี้ มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ในปัจจุบัน  อีกทั้งยังพบหลุมฝังศพของมนุษย์เหล่านี้ในหลาย ๆ พื้นที่  ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อเกี่ยวกับการฝังศพ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากมนุษย์ในยุคก่อน ๆ ที่ไม่มีความเชื่อแบบนี้เกิดขึ้น
      
      รูปแบบของวิวัฒนาการที่กล่าวมาทั้งหมดย่อมแสดงให้เห็นว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล เป็นมนุษย์ที่มีความเจริญขึ้นกว่ามนุษย์ในยุคก่อนหน้ามาก  ทั้งทางด้านลักษณะทางกายภาพที่สันคิ้วเล็กลงกว่าในอดีต เริ่มมีคางปรากฏชัดเจนมากขึ้น  และในด้านของการสร้างสรรค์เครื่องมือก็พบว่า เครื่องมือมีรายละเอียดที่ประณีตมากยิ่งขึ้น แต่แล้วในที่สุด มนุษย์นีแอนเดอร์ธัลก็ต้องสูญพันธุ์ไปหมด  เพราะความไม่เหมาะสมบางประการ  อาจจะเนื่องจากปริมาณของพลเมืองโลกที่เกิดมากขึ้น  ทำให้อาหารขาดแคลนและลดน้อยลง  อีกทั้งสภาพอากาศยุคนั้นก็หนาวเย็นมากเพราะเป็นช่วงต้นของยุคน้ำแข็งนั่นเอง  เราจึงอาจกล่าวได้ว่า  “ผู้อ่อนแอ....ไม่สามารถอยู่ได้บนโลกนี้”

       

       เมื่อเขียนมาจนถึงบทสรุปของเรื่อง ทำให้ K. เอง  นึกย้อนไปถึงตอนที่เรียนวิชาชีววิทยาในเรื่องของ      “ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน”  ที่อธิบายว่าธรรมชาติทำอย่างไรจึงทำให้สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้ ซึ่งดาร์วินได้บอกว่า มันเป็นกลไก “การคัดเลือกโดยธรรมชาติ” (Natural selection) กล่าวคือ  เมื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีจำนวนมากเกินกว่าที่จะอยู่รอดได้ทั้งหมด  และต้องมีการดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด (Struggle for existence) สิ่งมีชีวิตตัวที่มีลักษณะแตกต่างออกไปจากตัวอื่นเล็กน้อย  แต่เป็นลักษณะที่เป็นประโยชน์เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ  ตลอดช่วงชีวิตของมัน จะมีโอกาสมีชีวิตรอดมากกว่า  หรือเรียกได้ว่า “ถูกคัดเลือกไว้ตามธรรมชาติ”  นั่นเอง    ซึ่งเชื่อมโยงกับการที่มนุษย์นีแอนเดอร์ธัลต้องสูญพันธุ์ไปเพราะสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวย  จึงทำให้มันไม่ถูกคัดเลือกให้ดำรงอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป  คุณผู้อ่านคิดเหมือน K.ไหมคะว่า ธรรมชาติบนโลกเรานี้เป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดแล้วค่ะ มนุษย์เราจะดำรงอยู่ หรือจะไปก็ต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติ  แม้ว่าเราจะสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสะดวกสบายบนโลกนี้  แต่สักวันธรรมชาติก็ต้องทำลายสิ่งเหล่านี้ลงไปด้วยวิธีการรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง คิดแล้วเศร้า.....เฮ้อออออออออ TT เอาเป็นว่าสำหรับวันนี้ K. ขอตัวลาคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคนก่อนนะคะ  แล้วเรามาเจอกัน Next week Byeeeeeeeeee


*คุณผู้อ่านคนไหนสนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้จากวิดีโอข้างล่างนี้เลยค่ะ ข้อมูลครบครัน รายละเอียดเเน่น การนำเสนอเข้าใจง่าย*




เอกสารอ้างอิง 

              
             เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์. (2555). วิวัฒนาการ (Evolution).
                      กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย            
               
              ชลิต   ชัยครรชิต. (2540). โบราณคดีเบื้องต้น.  พิมพ์ครั้งที่2.
                      ขอนแก่น : ภาควิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดี  มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
                
               อัจฉริยา  รังษิรุจิ. (2555). วิวัฒนาการ : จากทฤษฎีสู่การประยุกต์.
                        กรุงเทพมหานคร : บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จำกัด
      
      

      











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น