Steve Jobs
สตีฟ จอบส์ ผู้นำด้านธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันได้กล่าวไว้ วันนี้ K. อยากจะให้คุณผู้อ่านทุก
ๆ คน ทำตัวแบบที่คุณจอบส์กล่าวไว้ คือ
จงกระหายที่จะใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา
พร้อมกับทำตัวให้เป็นเหมือนแก้วน้ำที่ไม่มีวันเต็มแก้ว เพื่อที่จะคอยรับเอาน้ำใหม่ ๆ (ความรู้)
เติมเข้าไปในแก้วตลอดเวลาเช่นกัน
เพราะในวันนี้ K. ก็มีสาระความรู้เกี่ยวกับโบราณคดีจากทั่วทุกมุมโลก มาฝากคุณผู้อ่านอีกเช่นเคย แต่ในคราวนี้ K. จะพาคุณผู้อ่านเดินทาง
ย้อนเวลา ท่องโลกโบราณคดี ไปทำความรู้จักกับ “มนุษย์โฮโมอีเร็คตัส” ซึ่งต้องย้อนเวลาไปไกลกว่า “มนุษย์โครมันยอง” เป็นแสนเป็นล้านปีฉะนั้น 😂😂😊
Get a grip…….buckle up and here we go!!!!!!
ภาพจำลองลักษณะใบหน้าของโฮโมอิเร็คตัส
“มนุษย์โฮโมอีเร็คตัส” (Homo Erectus) เป็นหนึ่งในมนุษย์สกุลโฮโม
ซากฟอสซิลแรกสุดที่บ่งบอกว่าเป็นมนุษย์ในสกุลนี้
ถูกค้นพบจากฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ของประเทศแอฟริกา โดยมีอายุอยู่ประมาณ 1.8 – 2.2 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างยุคไพลโอซีน (Pliocene) และไพลสโตซีน (Pleistocene)
มนุษย์ในยุคแรกของสกุลโฮโม มีชื่อว่าโฮโม ฮาบิลิส (Homo habilis) โดยมีความสูงแค่ประมาณ 4 ฟุตครึ่ง เท่านั้น
ภาพจำลองความสูงของโฮโมอิเร็คตัส
ต่อมาเมื่อประมาณ 1.8
ล้านปีมาแล้ว ในช่วงปลายยุคของโฮโม
ฮาบิลิส
ได้มีฟอสซิลของมนุษย์สกุลโฮโมกลุ่มใหม่ปรากฏขึ้น นั่นก็คือโฮโมอีเร็คตัส (Homo Erectus) มนุษย์กลุ่มนี้มีความสูงมากกว่าโฮโม ฮาบิลิส
คือ สูงถึง 5 ฟุตครึ่ง
ลักษณะทางกายภาพนั้น มีกะโหลกหนา โหนกคิ้วนูนกว่าโฮโม ฮาบิลิส
ฟันเล็กลง
และมีขนาดสมองที่ใหญ่ขึ้น (ประมาณ
700 ถึง 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร) ฟอสซิลของโฮโมอีเร็คตัส
ถูกพบกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในแอฟริกาที่เป็นจุดกำเนิด และมนุษย์เหล่านี้ได้มีการย้ายถิ่นฐานกระจายไปในที่ต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็น จีน ชวา อินเดีย ลังกา
และในแถบยุโรป ซึ่งโฮโมอีเร็คตัสมีอายุอยู่บนโลกราว 1.8 ล้านปี – 300,000 ปีมาแล้ว
นอกจากนี้
ในยุคของโฮโมอีเร็คตัส ยังพบหลักฐานของการใช้ไฟ และเครื่องมือหินจำพวกขวานมือ (hand
axe) แบบแอคิวลีน (Acheulean) นักวิชาการค้นพบอีกว่า
โฮโมอีเร็คตัส
เป็นพวกที่เริ่มมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรมจากการพบเครื่องมือหินประเภทสับตัด
(Choppers) หลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้
ล้วนแสดงถึงการดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์
อีกทั้งยังมีหลักฐานสำคัญที่พบในถ้ำจูกูเทียนของจีน ที่ทำให้ทราบว่ามนุษย์เหล่านี้มีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคม
และมีวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้ภาษาสื่อสารกันด้วย
ภาพจำลองการใช้เครื่องมือเเละการใช้ไฟของโฮโมอิเร็คตัส
ข้อมูลของมนุษย์เหล่านี้จากที่ได้มีการกล่าวมาแล้ว
ในส่วนของเรื่องราวการย้ายถิ่นฐานกระจายไปในที่ต่าง ๆ
ของโลกอย่างกว้างขวางในอดีตนั้น ทำให้ในประเทศไทยเราเองก็เคยเป็นแผ่นดินที่มนุษย์เหล่านี้เคยอยู่อาศัย โดยย้อนไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2544 ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการผ่านสื่อต่าง ๆ
ของไทย ว่ามีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ในสกุลโฮโม สายพันธุ์ที่เรียกว่า “Homo erectus” อาศัยอยู่ในประเทศไทยเมื่อราว
500,000 ปีมาแล้ว
การค้นพบนี้เป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของนักมานุษยวิทยากายภาพทั่วโลกที่คิดว่า
ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันนี้มีฟอสซิลของบรรพบุรุษของมนุษย์ ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ อาศัยแนวคิดที่ว่า
การพบฟอสซิลเป็นจำนวนมากของมนุษย์โฮโมอิเร็คตัส บริเวณประเทศจีน และเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศไทยเราเองก็น่าจะมีฟอสซิลของมนุษย์เหล่านี้เช่นกัน
เพราะประเทศไทยเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างประเทศจีนและเกาะชวานั่นเอง
การพบหลักฐานเกี่ยวกับโฮโมอิเร็คตัสในประเทศไทยครั้งแรก
เป็นการพบซากฟอสซิลเมื่อพ.ศ. 2539 โดยได้พบหลักฐาน 1 ชิ้น คือ ฟันกรามน้อยซี่ที่ 4
ด้านบนขวา เมื่อทำการตรวจอายุของหินปูนที่ปกคลุมฟันซี่นี้ ปรากฏว่ามีอายุราว 180,000 ปีมาแล้ว อย่างไรก็ตาม
ฟันซี่นี้ก็ยังไม่เป็นที่ยืนยันแน่นอนว่าเป็นของโฮโมอิเร็คตัส
เพราะถึงแม้ว่าลักษณะของฟันจะคล้ายคลึงกับฟันของโฮโมอิเร็คตัส ที่พบในประเทศจีน และเกาะชวาก็ตาม
แต่รากฟันนั้นคล้ายคลึงกับมนุษย์นีอันเดอร์ทัลและมนุษย์ในปัจจุบัน
3 ปีต่อมา
ข้อสันนิษฐานที่ว่าเคยมีโฮโมอิเร็คตัสอยู่ในประเทศไทยก็เริ่มจะกลายเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา เมื่อมีการสำรวจถ้ำหินปูนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลำปาง
ช่วงปลายปีของพ.ศ. 2542
โดยได้ค้นพบเศษกะโหลกศีรษะ ซีกขวาด้านหน้า หรือที่เรียกว่า Calvaria
จำนวน 4 ชิ้น
เศษกะโหลกศีรษะเหล่านี้ สามารถนำมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวกันได้อย่างพอดี
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีรูปทรงคล้ายกับรูปทรงกะโหลกของโฮโมอิเร็คตัสที่พบในจีน และเกาะชวา
จากนั้นทางคณะสำรวจก็ได้ส่งหลักฐานนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษวิทยากายภาพตรวจสอบ
คือ Prof. Phillip Tobias จากประเทศแอฟริกาใต้
จึงได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเป็น โฮโมอิเร็คตัส ที่มีอายุประมาณ 500,000 ปีมาแล้ว การค้นพบนี้จึงทำให้เราได้ทราบว่ามีโฮโมอิเร็คตัสอยู่ในประเทศไทยในอดีตจริง
ภาพฟอสซิลของโฮโมอิเร็คตัสที่ถูกพบเป็นครั้งเเรกในประเทศไทย
เรื่องราวของโฮโมอิเร็คตัส ทำให้เราได้เห็นถึงวิวัฒนาการ
ความเป็นมาของมนุษย์เหล่านี้ในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความเป็นมาในเรื่องของวิถีการดำรงชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้า
คือ การที่มนุษย์ในยุคนี้รู้จักการใช้ไฟ
เพื่อช่วยในการปรับตัวให้สามารถอยู่อาศัยได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาวเย็น
นอกจากนี้ยังรู้จักใช้ขนสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มด้วย รวมถึงรู้จักการทำเครื่องมือหินที่มีความประณีตยิ่งขึ้นกว่ามนุษย์ในยุคก่อน โฮโมอิเร็คตัส จึงถือเป็นมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาอีกขั้น
ทั้งในด้านลักษณะทางกายภาพ และมันสมองในการพัฒนาสิ่งของวัตถุต่าง ๆ ให้เจริญยิ่งกว่ามนุษย์ในยุคก่อนหน้า
ในส่วนท้ายของโพสต์นี้ ก่อนที่
K. จะกล่าวลาคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคน K. ก็อยากจะฝากวาทะที่แฝงแง่คิดของคนดังเอาไว้
ซึ่งคนดังท่านนี้ มาจากสมัยกรีกเลยทีเดียว
นั่นก็คือ อริสโตเติล นั่นเองค่ะ “Educating the mind without
educating the heart is NO education at all.” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ให้ความรู้แก่สมอง โดยที่หัวใจปราศจากการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับการไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย” K. เห็นด้วยกับท่านอริสโตเติลอย่างมากเลยค่ะ
เพราะเวลาที่เราจะอ่านหนังสือหรือเรียนรู้อะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเราทำสิ่งเหล่านั้นโดยการฝืนตัวเอง
หรือบังคับตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ดีเท่าที่ควร
ฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วในการเรียนรู้ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง K. อยากจะให้ทุกคนฝึกตัวเองให้เป็นคน Open-minded คือเปิดหัวใจ รับสิ่งใหม่ ๆ
เพราะบนโลกอันแสนกว้างใบนี้ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราไม่รู้ และควรจะรู้
โลกของโบราณคดีในบล็อกนี้ก็เช่นกันค่ะ มีความรู้จากทั่วทุกมุมโลกที่รอให้คุณผู้อ่านมาเปิดโลกของตัวเองอยู่นะคะ สำหรับวันนี้ K. ก็ต้องขอตัวลาคุณผู้อ่านไปก่อน และอย่าลืมรอติดตามกันนะคะว่า ในอาทิตย์หน้า K.
จะพาคุณผู้อ่านไปท่องโลกในยุคใดสมัยใด และเกี่ยวกับเรื่องอะไร
รอลุ้นกันนะคะ สำหรับวันนี้ Cheerio!!!!! (ภาษาอิตาลี ก็มา 5555)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น