ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ย้อนเวลา ไขปริศนา "โฮโมอิเร็คตัส" (Homo Erectus) #Archaeology


     
Steve Jobs

       “Stay Hungry, Stay Foolish”  จงกระหาย และ ทำตัวให้โง่ตลอดเวลา               
 สตีฟ จอบส์ ผู้นำด้านธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันได้กล่าวไว้ วันนี้ K. อยากจะให้คุณผู้อ่านทุก ๆ คน  ทำตัวแบบที่คุณจอบส์กล่าวไว้  คือ จงกระหายที่จะใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา  พร้อมกับทำตัวให้เป็นเหมือนแก้วน้ำที่ไม่มีวันเต็มแก้ว  เพื่อที่จะคอยรับเอาน้ำใหม่ ๆ (ความรู้) เติมเข้าไปในแก้วตลอดเวลาเช่นกัน  เพราะในวันนี้  K. ก็มีสาระความรู้เกี่ยวกับโบราณคดีจากทั่วทุกมุมโลก มาฝากคุณผู้อ่านอีกเช่นเคย  แต่ในคราวนี้ K. จะพาคุณผู้อ่านเดินทาง ย้อนเวลา ท่องโลกโบราณคดี ไปทำความรู้จักกับ   “มนุษย์โฮโมอีเร็คตัส” ซึ่งต้องย้อนเวลาไปไกลกว่า “มนุษย์โครมันยอง” เป็นแสนเป็นล้านปีฉะนั้น  😂😂😊
Get a grip…….buckle up  and here we go!!!!!!



                        
ภาพจำลองลักษณะใบหน้าของโฮโมอิเร็คตัส

          
           “มนุษย์โฮโมอีเร็คตัส  (Homo Erectus) เป็นหนึ่งในมนุษย์สกุลโฮโม ซากฟอสซิลแรกสุดที่บ่งบอกว่าเป็นมนุษย์ในสกุลนี้  ถูกค้นพบจากฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ของประเทศแอฟริกา  โดยมีอายุอยู่ประมาณ 1.8 – 2.2 ล้านปีก่อน  ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างยุคไพลโอซีน (Pliocene) และไพลสโตซีน (Pleistocene) มนุษย์ในยุคแรกของสกุลโฮโม  มีชื่อว่าโฮโม  ฮาบิลิส (Homo habilis) โดยมีความสูงแค่ประมาณ 4 ฟุตครึ่ง เท่านั้น


ภาพจำลองความสูงของโฮโมอิเร็คตัส



          ต่อมาเมื่อประมาณ  1.8  ล้านปีมาแล้ว ในช่วงปลายยุคของโฮโม  ฮาบิลิส  ได้มีฟอสซิลของมนุษย์สกุลโฮโมกลุ่มใหม่ปรากฏขึ้น  นั่นก็คือโฮโมอีเร็คตัส  (Homo Erectus)  มนุษย์กลุ่มนี้มีความสูงมากกว่าโฮโม  ฮาบิลิส  คือ สูงถึง 5 ฟุตครึ่ง  ลักษณะทางกายภาพนั้น  มีกะโหลกหนา  โหนกคิ้วนูนกว่าโฮโม  ฮาบิลิส  ฟันเล็กลง  และมีขนาดสมองที่ใหญ่ขึ้น  (ประมาณ 700 ถึง  1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร)  ฟอสซิลของโฮโมอีเร็คตัส ถูกพบกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในแอฟริกาที่เป็นจุดกำเนิด  และมนุษย์เหล่านี้ได้มีการย้ายถิ่นฐานกระจายไปในที่ต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็น จีน ชวา อินเดีย ลังกา และในแถบยุโรป ซึ่งโฮโมอีเร็คตัสมีอายุอยู่บนโลกราว 1.8 ล้านปี  – 300,000 ปีมาแล้ว


         นอกจากนี้ ในยุคของโฮโมอีเร็คตัส  ยังพบหลักฐานของการใช้ไฟ      และเครื่องมือหินจำพวกขวานมือ (hand axe) แบบแอคิวลีน (Acheulean) นักวิชาการค้นพบอีกว่า โฮโมอีเร็คตัส  เป็นพวกที่เริ่มมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรมจากการพบเครื่องมือหินประเภทสับตัด (Choppers) หลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้  ล้วนแสดงถึงการดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์  อีกทั้งยังมีหลักฐานสำคัญที่พบในถ้ำจูกูเทียนของจีน  ที่ทำให้ทราบว่ามนุษย์เหล่านี้มีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคม  และมีวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้ภาษาสื่อสารกันด้วย




ภาพจำลองการใช้เครื่องมือเเละการใช้ไฟของโฮโมอิเร็คตัส


            ข้อมูลของมนุษย์เหล่านี้จากที่ได้มีการกล่าวมาแล้ว  ในส่วนของเรื่องราวการย้ายถิ่นฐานกระจายไปในที่ต่าง ๆ ของโลกอย่างกว้างขวางในอดีตนั้น  ทำให้ในประเทศไทยเราเองก็เคยเป็นแผ่นดินที่มนุษย์เหล่านี้เคยอยู่อาศัย  โดยย้อนไปเมื่อวันที่  30 ตุลาคม 2544  ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการผ่านสื่อต่าง ๆ ของไทย ว่ามีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ในสกุลโฮโม สายพันธุ์ที่เรียกว่า  “Homo erectus” อาศัยอยู่ในประเทศไทยเมื่อราว 500,000 ปีมาแล้ว การค้นพบนี้เป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของนักมานุษยวิทยากายภาพทั่วโลกที่คิดว่า ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันนี้มีฟอสซิลของบรรพบุรุษของมนุษย์  ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้ อาศัยแนวคิดที่ว่า   การพบฟอสซิลเป็นจำนวนมากของมนุษย์โฮโมอิเร็คตัส  บริเวณประเทศจีน และเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศไทยเราเองก็น่าจะมีฟอสซิลของมนุษย์เหล่านี้เช่นกัน     เพราะประเทศไทยเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างประเทศจีนและเกาะชวานั่นเอง

          การพบหลักฐานเกี่ยวกับโฮโมอิเร็คตัสในประเทศไทยครั้งแรก เป็นการพบซากฟอสซิลเมื่อพ.ศ. 2539 โดยได้พบหลักฐาน 1 ชิ้น คือ ฟันกรามน้อยซี่ที่ 4 ด้านบนขวา เมื่อทำการตรวจอายุของหินปูนที่ปกคลุมฟันซี่นี้ ปรากฏว่ามีอายุราว 180,000 ปีมาแล้ว  อย่างไรก็ตาม ฟันซี่นี้ก็ยังไม่เป็นที่ยืนยันแน่นอนว่าเป็นของโฮโมอิเร็คตัส เพราะถึงแม้ว่าลักษณะของฟันจะคล้ายคลึงกับฟันของโฮโมอิเร็คตัส  ที่พบในประเทศจีน  และเกาะชวาก็ตาม  แต่รากฟันนั้นคล้ายคลึงกับมนุษย์นีอันเดอร์ทัลและมนุษย์ในปัจจุบัน  
                                
          3 ปีต่อมา  ข้อสันนิษฐานที่ว่าเคยมีโฮโมอิเร็คตัสอยู่ในประเทศไทยก็เริ่มจะกลายเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา  เมื่อมีการสำรวจถ้ำหินปูนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลำปาง ช่วงปลายปีของพ.ศ. 2542  โดยได้ค้นพบเศษกะโหลกศีรษะ ซีกขวาด้านหน้า หรือที่เรียกว่า Calvaria จำนวน 4 ชิ้น  เศษกะโหลกศีรษะเหล่านี้ สามารถนำมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวกันได้อย่างพอดี จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีรูปทรงคล้ายกับรูปทรงกะโหลกของโฮโมอิเร็คตัสที่พบในจีน  และเกาะชวา  จากนั้นทางคณะสำรวจก็ได้ส่งหลักฐานนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษวิทยากายภาพตรวจสอบ คือ Prof. Phillip Tobias จากประเทศแอฟริกาใต้ จึงได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเป็น โฮโมอิเร็คตัส ที่มีอายุประมาณ 500,000 ปีมาแล้ว   การค้นพบนี้จึงทำให้เราได้ทราบว่ามีโฮโมอิเร็คตัสอยู่ในประเทศไทยในอดีตจริง





ภาพฟอสซิลของโฮโมอิเร็คตัสที่ถูกพบเป็นครั้งเเรกในประเทศไทย


             เรื่องราวของโฮโมอิเร็คตัส  ทำให้เราได้เห็นถึงวิวัฒนาการ ความเป็นมาของมนุษย์เหล่านี้ในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นมาในเรื่องของวิถีการดำรงชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้า คือ การที่มนุษย์ในยุคนี้รู้จักการใช้ไฟ เพื่อช่วยในการปรับตัวให้สามารถอยู่อาศัยได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาวเย็น นอกจากนี้ยังรู้จักใช้ขนสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มด้วย  รวมถึงรู้จักการทำเครื่องมือหินที่มีความประณีตยิ่งขึ้นกว่ามนุษย์ในยุคก่อน  โฮโมอิเร็คตัส จึงถือเป็นมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาอีกขั้น ทั้งในด้านลักษณะทางกายภาพ และมันสมองในการพัฒนาสิ่งของวัตถุต่าง ๆ  ให้เจริญยิ่งกว่ามนุษย์ในยุคก่อนหน้า

      ในส่วนท้ายของโพสต์นี้ ก่อนที่ K. จะกล่าวลาคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคน  K. ก็อยากจะฝากวาทะที่แฝงแง่คิดของคนดังเอาไว้ ซึ่งคนดังท่านนี้ มาจากสมัยกรีกเลยทีเดียว  นั่นก็คือ อริสโตเติล นั่นเองค่ะ “Educating the mind without educating the heart is NO education at all.” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า  ให้ความรู้แก่สมอง โดยที่หัวใจปราศจากการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับการไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย   K. เห็นด้วยกับท่านอริสโตเติลอย่างมากเลยค่ะ  เพราะเวลาที่เราจะอ่านหนังสือหรือเรียนรู้อะไรสักอย่างหนึ่ง  ถ้าเราทำสิ่งเหล่านั้นโดยการฝืนตัวเอง หรือบังคับตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วในการเรียนรู้ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง K. อยากจะให้ทุกคนฝึกตัวเองให้เป็นคน Open-minded คือเปิดหัวใจ รับสิ่งใหม่ ๆ เพราะบนโลกอันแสนกว้างใบนี้ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราไม่รู้  และควรจะรู้    โลกของโบราณคดีในบล็อกนี้ก็เช่นกันค่ะ มีความรู้จากทั่วทุกมุมโลกที่รอให้คุณผู้อ่านมาเปิดโลกของตัวเองอยู่นะคะ  สำหรับวันนี้ K. ก็ต้องขอตัวลาคุณผู้อ่านไปก่อน  และอย่าลืมรอติดตามกันนะคะว่า ในอาทิตย์หน้า K. จะพาคุณผู้อ่านไปท่องโลกในยุคใดสมัยใด และเกี่ยวกับเรื่องอะไร รอลุ้นกันนะคะ  สำหรับวันนี้ Cheerio!!!!!   (ภาษาอิตาลี ก็มา 5555)      

**** ถ้าคุณผู้อ่านต้องการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ Homo Erectus เพิ่มเติม K. ขอแนะนำคลิปข้างล่างนี้เลยค่ะ****

วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เปิดแฟ้มประวัติ เผยความลับ "มนุษย์โครมันยอง" (Cro-magnon man) #Archaeology

             สวัสดีในวันที่อากาศหนาวปกคลุมเกือบทั่วประเทศไทยนะคะ.....คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคน 😊😁  สืบเนื่องจากโพสต์ที่เเล้ว  ซึ่งเป็นโพสต์เเรกบนบล็อกนี้ ได้มีการเกริ่นรายละเอียดกันไปคร่าว ๆ                เเล้วนะคะว่า บล็อกนี้จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร  เเน่นอนค่ะว่า  ชื่อบล็อกก็มีบอกไว้อย่างชัดเจน 555 +  เอาล่ะค่ะ Get to the point!  เนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องราวทางโบราณคดีวันนี้   K. Proudly present  เรื่อง "มนุษย์โครมันยอง" (Cro-magnon man)   สำหรับเรื่องนี้ จะทำให้คุณผู้อ่านได้รู้จักว่า มนุษย์โครมันยองคือใคร ลักษณะเป็นอย่างไร เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ตอนไหน และพวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร   ถ้าคุณผู้อ่านพร้อมเเล้ว..... เราไปท่องโลกโบราณคดีกันเล้ยยยยยยยย......
                                               




ที่มา : https://i2.wp.com/www.ancient-origins.net/sites/default/files/styles/large/public/impression-of-a-blue-eyed-hunter-gatherer.jpg
  
          "มนุษย์โครมันยอง" (Cro-magnon man)   ถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษหรือเป็นสายพันธุ์ของมนุษย์ในปัจจุบัน  ซึ่งเรียกว่า  "Homo  Sapiens"  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเชื้อสายของมนุษย์ในยุโรป  ลักษณะทางกายภาพของมนุษย์เหล่านี้  ทราบได้จากหลักฐานที่เป็นโครงกระดูก  โดยพบโครงกระดูกครั้งเเรก    5 โครง มีความสูง  5 ฟุต 10 นิ้ว  ทำให้ทราบว่ามนุษย์พวกนี้มีศีรษะใหญ่ ใบหน้ากว้าง จมูกโด่ง  กระดูกคิ้วขนาดปานกลาง  หน้าผากสูงเกือบเท่าคนในสมัยปัจจุบัน  มีร่องบุ๋มของคาง  รูปร่างสูงใหญ่เเข็งเเรง มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ในปัจจุบัน
           
   
            มนุษย์พวกนี้มีอายุอยู่ระหว่าง  10,000 - 40,000 ปีมาเเล้ว โครงกระดูกของมนุษย์โครมันยองพบครั้งเเรกที่เเคว้นเวลส์ ในประเทศอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1823 จากนั้นพบที่หมู่บ้านเลสอีซีส์ ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อ  พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868)  ต่อมาก็พบโครมันยองตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก  เช่น  ประเทศฮังการี  รัสเซีย  ตะวันออกกลาง  แอฟริกา  จีน  เอเชีย  ออสเตรเลีย  อเมริกาเหนือเเละใต้  มนุษย์พวกนี้อาศัยอยู่ในถ้ำเฉพาะฤดูหนาว  ส่วนในฤดูร้อนจะสร้างกระท่อมเป็นที่อยู่อาศัย

       
           โครมันยองรู้จักทำเครื่องมือเครื่องใช้ที่พัฒนายิ่งขึ้น  นอกจากนั้นก็รู้จักเขียนภาพประดับฝาผนังถ้ำไว้หลายเเห่ง  ซึ่งส่วนมากเเล้วเป็นถ้ำในทวีปยุโรป  ภาพเขียนส่วนมากเป็นภาพเขียนเกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ เช่น  ภาพวัว  หมี  กวาง ช้างเเมมมอธ  เเละภาพสัตว์อื่น ๆ  การที่มนุษย์พวกนี้เขียนภาพที่ฝาผนังถ้ำขึ้นนั้น  สันนิษฐานว่าคงจะใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของพวกเขา  นอกจากภาพเขียนเเล้ว  ก็มีภาพปั้นและภาพเเกะสลักซึ่งมีทั้งที่ทำด้วยดินเหนียวเเละหิน  เเต่ไม่สวยงามเท่ากับภาพเขียน  สิ่งที่เหลืออยู่เหล่านี้เอง ที่ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานได้ว่า มนุษย์พวกนี้เริ่มรู้จักการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนเเล้ว


ที่มา : https://image.slidesharecdn.com/evolutionofman-170407182927/95/evolution-of-man-16-638.jpg?cb=1491589791


                  นุษย์โครมันยองมีความเฉลียวฉลาดกว่ามนุษย์ในยุคก่อน ๆ ที่ผ่านมา 😃😁                             (เช่น มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล )  หลักฐานที่มาสนับสนุนก็คือ  เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน  ทำด้วยกระดูกสัตว์  ภาพเขียน  ภาพเเกะสลัก  ภาพปั้น  เเละเครื่องประดับทำด้วยเปลือกหอยต่าง ๆ    หลักฐานต่างเหล่านี้ล้วนทำให้ทราบถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ในรุ่นเเรก ๆ อย่างมนุษย์โครมันยองได้เป็นอย่างดี  กล่าวคือ  การที่รู้จักเขียนภาพต่าง ๆ โดยมีศิลปะหรือคุณค่าทางศิลปะที่สูงกว่ามนุษย์ในยุคก่อน   ภาพต่าง ๆ ที่เขียนเป็นลายเส้นไว้นั้น  เเสดงให้เห็นว่าไม่ได้เขียนขึ้นเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น  เเต่เขียนขึ้นด้วยความชำนาญ  ส่วนการใช้สีนั้น  ปรากฏว่าจะใช้สีเเดงเป็นส่วนมาก  นอกจากนั้นก็มีสีดำ  สีเหลือง  สีเขียว  สีเหล่านี้มีความทนทานอยู่ได้ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้  ส่วนตามผนังถ้ำก็พบภาพเเกะสลักต่าง ๆ  เเม้เเต่สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำจากกระดูกเขากวาง  เช่น  ฉมวก  หัวลูกศร ก็มีการเเกะสลักไว้อย่างงดงามเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ 


               
      
           นักโบราณคดีได้พบตุ๊กตาซึ่งมีทั้งที่เเกะสลักจากหิน  เเละปั้นด้วยดินอยู่ในถ้ำด้วย   บรรดาตุ๊กตาเหล่านี้ทำเป็นรูปผู้หญิง  ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า ตุ๊กตาเหล่านี้คงจะเป็นเทพเจ้าของโครมันยอง พวกเขาคงจะมีลัทธิบูชาเทพเจ้าเกิดขึ้นเเล้วในขณะนั้น นอกจากนี้ยังพบเครื่องมือที่ทำจากหินเหล็กไฟ  เเม้ว่ายังใช้วัสดุเดียวกับพวกมนุษย์ในยุคต้น  เเต่มนุษย์พวกนี้ก็ทำได้อย่างประณีต เรียบร้อย สวยงาม ไม่ขรุขระมาก เหมือนมนุษย์ในยุคต้น


      
                 

          เมื่อพิจารณาโดยทั่ว ๆ ไปจากข้อมูลที่ได้กล่าวมาข้างต้น ก็จะเห็นได้ว่า                  
 "มนุษย์โครมันยอง"  นี้ มีความเจริญทั้งลักษณะทางกายภาพและคุณสมบัติทาง
ด้านความเฉลียวฉลาดที่พัฒนาขึ้นกว่ามนุษย์ในยุคต้น ๆ อย่างมาก  ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศในสมัยนั้นเอื้ออำนวย  ไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ จึงทำให้สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้นได้  อีกทั้งยังทำให้มนุษย์พวกนี้ดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในเเถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  เเละบริเวณทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสเปน (ดินเเดนส่วนที่ติดต่อกับฝรั่งเศส)  บริเวณดังกล่าวนี้  จัดว่าเป็นดินเเดนเเห่งประวัติศาสตร์เมื่อ 30,000 - 40,000 ปีมาเเล้ว  อีกทั้งยังเป็นเเห่งเดียวที่พบร่องรอยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในทวีปยุโรปมากที่สุดด้วย



                   😄 การไปท่องโลกโบราณคดีในยุคนี้ K. เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงจะรู้สึกสนุก  เเละสิ่งที่สำคัญที่สุดคือได้รับความรู้ด้วย คุณผู้อ่านคงจะเห็นเเล้วนะคะว่าเรื่องราวของมนุษย์ในสมัยก่อนนั้น ทำให้เรารู้สึกทึ่งได้มากมายเพียงใด  เพราะกว่าจะมีพวกเราในวันนี้ ก็มีพวกเขาเหล่านี้เเหละค่ะ  ที่อยู่บนโลกของเรา  เเล้วจึงวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์เราในปัจจุบัน       ถ้าคุณผู้อ่านสนใจอยากจะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์โครมันยองเพิ่มเติม  สามารถคลิกดูวิดีโอตามลิงค์ที่ K. นำมาฝากข้างล่างนี้เลย!!!!  เเล้วคุณจะได้รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้มันช่วยเปิดโลกของคุณได้มากเลยค่ะ  ในโพสต์หน้า K. จะพาคุณผู้อ่านเดินทางไปท่องโลกโบราณคดีในยุคใด สมัยใด โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ Bye!






เอกสารอ้างอิง

ชลิต   ชัยครรชิต. (2540). โบราณคดีเบื้องต้น.  พิมพ์ครั้งที่2. ขอนแก่น : ภาควิชา
             ประวัติศาสตร์และโบราณคดี  มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เเนะนำตัว(My first time on blog) #A little archaeologist

สวัสดีค่ะทุก ๆ คน เรามีนามว่า Kenny  555 เราเป็นคนหนึ่งที่มีความหลงใหลเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดี  เราจึงอยากที่จะนำความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาเผยเเพร่ให้ทุกคนได้อ่านกัน หวังว่าทุกคนคงจะชอบ และได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราจะเขียนในครั้งต่อ  ๆ ไป นะคะ😆😊💕📓